คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ในการประชุม ครั้งที่ 34/2566 (ครั้งที่ 862) เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2566 มีมติรับทราบผลการรับฟังความคิดเห็นค่าเอฟที และได้พิจารณากรณีศึกษาการปรับค่าเอฟทีขายปลีก สำหรับเรียกเก็บในงวดเดือนกันยายน – ธันวาคม 2566
โดยมีมติเห็นชอบค่าเอฟทีเรียกเก็บจำนวน 66.89 สตางค์ต่อหน่วย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยปรับลดลงจากงวดปัจจุบัน (พฤษภาคม – สิงหาคม 2566) จาก 4.70 บาทต่อหน่วยเหลืออยู่ที่ 4.45 บาทต่อหน่วยและให้มีผลตั้งแต่รอบบิลเดือนกันยายน 2566
โดยการพิจารณาดังกล่าว กกพ. ยึดหลักเกณฑ์ตามประกาศ กกพ. เรื่อง กระบวนการ ขั้นตอนการใช้สูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ พ.ศ. 2565 และได้พิจารณาประโยชน์ของประเทศ รวมถึงสภาพการแข่งขันและความสามารถในการให้บริการของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และการรักษาเสถียรภาพความมั่นคงการให้บริการระยะยาวประกอบแล้ว
เอกชนไม่ยอมรับลดค่าไฟ แค่ 25 สตางค์คำพูดจาก สล็อตเว็บตรง
ด้านอิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เอกชนไม่ยอมรับค่าเอฟทีค่าไฟฟ้า งวด 3/66 เพราะมีปัจจัยบวกทั้งภายใน และ ภายนอก ต่อ ค่าเอฟที ค่าไฟฟ้างวด3/66 มากมาย
ก่อนหน้านี้คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน หรือ กกร. ได้จัดทำข้อเสนอ ถึง รัฐบาล ทั้ง 2 ข้อเสนอ แต่ไร้การตอบรับจากผู้รับผิดชอบ
โดยตัวเลขที่ กกพ.ประกาศออกมาคือตัวเลขที่ ค่อนข้าง Conservative ในสมมุติฐานค่าเอฟที ทั้งๆ ที่เอกชน มีข้อแนะนำไปแล้วส่วนตัว มองว่า ค่าไฟฟ้าเอฟที งวด3/66 ยังลงได้มากกว่าที่ประกาศออกมาด้วยเหตุผล คือ
- การจัดการ ยืดหนี้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) และการกระทบยอดหนี้ กฟผ. ว่า เพิ่มขึ้นจากเดิมได้อย่างไรทั้งๆ ที่ ค่า LNG นำเข้า จ่ายจริงต่ำกว่าสมมุติฐานในการเรียกเก็บค่าเอฟที ทั้งงวด 1 และ งวด 2/66
- การจัดซื้อ LNG เป็น One Team ได้มีการพิจารณาสั่งการหรือไม่ อย่างไร
- การรื้อโครงสร้าง ค่า LNG ระหว่าง ปิโตรเคมีและผู้ผลิตไฟฟ้าและอื่นๆ อย่างเหมาะสมและ เป็นธรรม
ทั้งนี้ หากกลไกภายใต้รัฐบาลรักษาการณ์เป็นแบบนี้คงต้องเป็นการบ้านเร่งด่วน ของรัฐบาลใหม่ ที่ต้องเข้ามาปฏิรูปเชิงรุกแล้ว โดยทางสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยไทย จะนำเรื่องนี้เข้าที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน หรือ กกร. ในวันที่ 2 สิงหาคม นี้